กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองปีนัง

 

    ข้าพเจ้าได้รับทุนจากโครงการพัฒนานักศึกษาสู่สากล ไปศึกษาที่ Advance Tourism International College ณ รัฐปีนัง สหพันธรัฐมาเลเชีย ซึ่งเป็นสถาบันสอนภาษาที่มีนักศึกษาจากต่างประเทศมาศึกษาเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น ไทย ฟิลิปปินส์ จีน เป็นต้น นักเรียนแต่ละคนที่ได้รับทุนมาจากหลากหลายสาขาวิชา  ก็จะมีพื้นฐานชีวิต ที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อได้มาศึกษาด้วยกัน ก็จะมีการแชร์ความคิดเห็น       ที่แตกต่างกัน และการที่ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา ก็รู้สึกว่าสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้มากเช่นกัน

      ในวันแรกที่ไปถึงได้รับการตอนรับเป็นอย่างดีจาก คุณ Johnny และคุณ Han ซึ่งมารับที่สนามบินนานาชาติปีนัง ด้วยความอบอุ่น จากนั้นไกด์ชาวจีนก็มีการบรรยาย ประวัติปีนัง อธิบายสถานที่ผ่านและ นัดหมายให้พรุ่งนี้เช้าเจอกันเพื่อที่จะแนะนำสถานที่เรียน สถานที่กินและพาซื้อซิมโทรศัพท์ ข้าพเจ้าประทับใจเป็นอย่างมาก ช่วงแรกๆที่ไปเรียน มีท้อบ้าง ต้องปรับตัว เพราะเรียนภาษาอังกฤษ ครูทุกคนพูดภาษาอังกฤษ        พออยู่ๆไป ก็เริ่มที่จะเข้าใจภาษาและฟังรู้เรื่องมากยิ่งขึ้น

ภาพที่ 1 ทางวิทยาลัยมารับที่สนามบินนานาชาติปีนัง

          ที่ปีนังอากาศร้อนเพราะโดยสภาพเป็นเกาะล้อมรอบด้วยทะเล ภูมิอากาศคล้ายๆกับภาคใต้ ของประเทศไทย คือมรสุมเขตร้อน (Am) ซึ่งอาทิตย์แรกฝนตกทุกวันเลย สิ่งที่จำเป็นคือร่มกันฝน ในทุกๆวันเสาร์ทางวิทยาลัยก็มีกิจกรรมให้ทำซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุกให้ความรู้และผ่อนคลายซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป         ในด้านของอาหาร ประเทศมาเลเชียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเซื้อชาติ ซึ่งประกอบไปด้วย จีน อินเดีย มาเลย์ เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นแล้วอาหารส่วนใหญ่ก็เป็นของแต่ละเชื้อชาตินี้ แต่มีสวนอาหารที่เป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือนคือ Red Garden มีอาหารมากมายมีอาหารไทยของเราอยู่ด้วย ส่วนราคาก็มีทั้งถูกไปจนถึงแพงมาก ตั้งแต่ 6 RM-28 Rm ประมา 60 บาท – 280 บาท

ภาพที่ 2 ผัดไทยจากร้านอาหารจีน (6.5 Rm)


    ลักษณะการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่ ATIC ซึ่งเป็นการเรียนในลักษณะเน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง (Student Center) มีอาจารย์สอนถึงสามคนสอนคนละอาทิตย์ คือ Miss.Vashti Mr.Navin Mr.Rirow ซึ่งมีลักษณะการสอนแต่แตกต่างกันแต่เน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วม กิจกรรมในชั้นเรียน อาทิเช่น ให้ผู้เรียนเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี มีการแบ่งกลุ่มเพื่อทำกิจกรรม คือ กลุ่ม Johor, Melaka, Perak, Selangor เช่น กิจกรรมเรลลี้ปิศนาทั่วเมือง กิจกรรมเต้นถ่ายทอดวัฒนธรรม อื่นๆ


ภาพที่ 3 ทำกิจกรรมกลุ่ม I like and Dislike in Penang.

          สัปดาห์แรกอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ปีนัง โดยการพาอ่านในซีสที่แจกแล้วขีดเส้นใต้สถานที่สำคัญจากนั้น อาจารย์ก็พาเดินไปดูสถานที่นั้นๆทั่วเมือง ซึ่งข้าพเจ้าจะนำเสนอประวัติศาสตร์ปีนังโดยแบบย่อ และใช้ภาพประกอบดังต่อไปนี้

          ตามประวัติย่อ ๆ ของปีนังก็เริ่มตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ตอนต้นที่อารยธรรมฮินดูแผ่อิทธิพลครอบคุมคาบสมุทรมลายูตอนเหนือ จวบจนกระทั่งการเข้ามาของชาวตะวันตกไม่ว่าจะเป็น โปรตุเกส ดัชท์และอังกฤษ ที่เข้ามาแสวงหาเครื่องเทศและผลประโยชน์ทางการค้า


ภาพที่ 4 แผนที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเชีย

จาก : Google Map

          ต่อมาเซอร์ฟรานซิสไลท์ (Sri Francis Light) นักผจญภัยและพ่อค้าชาวอังกฤษได้เดินทางมาถึง ยังเกาะปีนังเมือปี ค.ศ. 1786 ท่านเซอร์มีความคิดว่าการที่ได้มีโอกาสครอบครองเกาะปีนังแห่งนี้จะเป็นประโยชน์ในการที่จะทำให้เกาะปีนังแห่งนี้เป็นสถานีการค้าของบริษัทบริติช อีสท์อินเดียใช้เป็นที่พักเรือสินค้าเมื่อยามเดินทางไปค้าขายกับจีนและใช้เป็นฐานที่มั่นในการหาประโยชน์ทางการค้าให้กับอังกฤษในภูมิภาคนี้ โดยได้ขึ้นฝั่งที่ชายหาดปีนัง ท่านเซอร์เริ่มแผนงานพูดโน้มน้าวให้สุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ยอมให้บริษัทบริติช อีสท์อินเดียทำการเช่าเกาะปีนังแลกกับการคุ้มครองไม่ให้ถูกรุกรานจากสยามประเทศซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่1 ได้สำเร็จ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการเกาะปีนังเป็นคนแรก แต่ถึงอย่างไรก็ตามสุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ ก็ต้องเสียดินแดนบนคาบสมุทรในส่วนของเซอเบรังหรือเมืองบัตเตอร์เวอร์ธให้แก่สยาม

ภาพที่ 5 ป้อมคอมวอลลิส สถานที่เซอร์ฟรานซิสไรว์ ขึ้นฝั่งครั้งแรก

          และเมื่อเซอร์ฟรานซิสไลท์ทำข้อตกลงกับราชสำนักเคดะห์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงทำการยกพลขึ้นบกบริเวณที่เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองในปัจจุบันโดยแต่เดิมบริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นป่ารกทึบบรรดาแรงงาน        ที่ถูกอังกฤษเกณฑ์มาจากอินเดียทำการหักร้างถางพง ( บางประวัติก็เล่าว่าเขาเจตนายิงเหรียญทองคำเข้าไป ในป่าแถบนั้นเพื่อเป็นอุบายให้ลูกน้องของเขา , แรงงานชาวอินเดียที่นำมา และชาวเกาะช่วยถางป่าให้ )

          จากนั้นทำการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้กลายเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าและตั้งชื่อเกาะนี้ว่า เกาะปริ๊นซ์ออฟเวลส์ ( Prince of WalesIsland)   และเมื่ออังกฤษได้เกาะปีนังมาครอบครองจึงตั้งเป็นท่าเรือเสรีโดยไม่เก็บภาษีการค้า ทำให้บรรดาพ่อค้าจากเมืองต่างๆหลั่งไหลกันเข้ามาตั้งรกรากกันบนเกาะปีนังทั้งชาวจีน อินเดีย และชวาโดยเฉพาะชาวจีนที่โล้สำเภามาจากเมืองฟูเจี้ยน ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของปีนังเป็นชาวจีน ซึ่งต่างจากรัฐอื่นของมาเลเซียที่มีชาวมาเลย์มากกว่า ส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้คุมเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด ส่วนชาวมาเลย์จะรับราชการและอื่นๆ ตามนโยบาย "ภูมิบุตรา" หรือลูกหลานแห่งแผ่นดิน ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมฉบับมาเลเซีย ที่ให้สิทธิพิเศษแก่คนมาเลย์ตั้งแต่เกิด เพื่อให้มีโอกาสได้แข่งขันกับคนจีนในสังคมเดียวกันหลังจากนั้นเป็นต้นมาประชากรบนเกาะปีนังจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นชุมชนเมืองจึงตั้งชื่อเมืองท่าแห่งนี้ว่า George town ตามพระนามของพระเจ้าจอรจ์ที่ 3 แห่งอังกฤษ 


ภาพที่ 6 ธงประจำรัฐปีนัง

          ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 สุลต่านเคดะห์ได้ยกดินแดนในส่วนที่อยู่บนพื้นแผ่นดินใหญ่คือจังหวัดเวลสเลย์ (Wellesley)ซึ่งตั้งชื่อตามผู้สำเร็จราชการแห่งอังกฤษประจำอินเดียตราบจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1832  ดินแดนปีนังทั้งหมดถูกรวมเป็นอาณานิคมของอังกฤษพร้อมกับมะละกาและสิงค์โปร์ เกาะปีนังเป็นศูนย์กลาง  ของการค้าเครื่องเทศ  เครื่องกระเบื้อง ชาและผ้า สินค้าเหล่านี้มีค่ามากกว่าทองคำในสมัยนั้น  เกาะปีนังอยู่ในการปกครองของอังกฤษมาประมาณร้อยกว่าปีจนมาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นตรงต่ออังกฤษอีกต่อไป โดยประกาศอิสรภาพที่เมืองมะละกาในปี ค.ศ. 1957 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 50 กว่าปีแล้ว  ปัจจุบันปีนังได้รับการยกฐานะให้เป็นรัฐหนึ่งในสหพันธ์รัฐมาเลเซียเมื่อปี ค.ศ. 1963 หลังจากนั้นเมืองปีนังได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยวกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีเรื่องราวประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมากมาย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกรู้จักตราบจนทุกวันนี้

           สัปดาห์ที่ 2 ทางวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมเดินชมเมือง และเรียนรู้สถานที่สำคัญของเมืองจอร์จทาวน์ และในปีนังซึ่งเป็นเมืองที่เราอยู่ ดังนี้


ภาพที่ 7 อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1-2

          สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงวีระชนเหล่าทหารหาญที่พลีชีพเพื่อต่อสู้เหล่าอริราชศัตรู ซึ่งครอบคลุมถึงเหตุการณ์ไม่สงบในการรวมรัฐ และสงสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2

ภาพที่ 8 มัสยิดกาปิตัน เคลิง

(เป็นมัสยิดขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองจอร์จทาวน์ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านของชาวอินเดีย)

          มัสยิดกาปิตัน เคลิงสร้างขึ้นครั้งแรกโดยกลุ่มคนของบริษัทอีสต์อินเดียซึ่งเป็นมุสลิมกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในปีนังในช่วงปลายทศวรรษที่ 1700 หลายปีต่อมา ชุมชนชาวมุสลิมอินเดียมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และต้องการมัสยิดคงทนถาวรกว่าเดิม ในปี ค.ศ. 1801 ชุมชนชาวมุสลิมนำโดยคาวเดอร์ มิดิน เมอร์ริคัน หรือที่รู้จักในในชื่อ "กาปิตัน เคลิง" ได้รับที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 18 เอเคอร์ จึงตัดสินใจสร้างมัสยิดนี้ขึ้น เดิมที           ตัวมัสยิดสร้างจากอิฐ มีหนึ่งชั้น แต่ต่อมามีการบูรณะอีกหลายครั้ง

          ด้านนอกของมัสยิดล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ยๆ อาคารมัสยิดมีสีขาว ประดับด้วยโดมและหอคอยแบบโมกุลสีเหลือง ภายในมัสยิดมีมาดราซาห์ (สถานที่สอนศาสนา) นอกจากนี้ บริเวณมุมถนนบักกิ้งแฮมและ         พิตสตรีท ยังมีหอคอยสูงซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้ประกาศเรียกชาวมุสลิมมาทำละหมาด

ภาพที่ 9 Street Art ซึ่งถูกยกให้เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของปีนัง

          กิจกรรมในวันนี้ ได้เริ่มต้นจาก Hutton Lodge ผ่านการชมเมือง ท่าเรือ ชุมชนชาวจีน วัดไชยมังคลาราม วัดพม่า วัดงู จบลงด้วย บาตู เฟอร์ริงกิ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุก และให้ความรู้เป็นอย่างมาก

          กิจกรรมสัปดาห์ที่ 3 ทางวิทยาลัยได้จัดให้ชมวัดเก๊กลอกซี ซึ่ง วัดเก็กล๊อกซี (kek lok si temple) เป็นวัดพุทธศาสนามหายานและแบบดั้งเดิมผสมผสานพิธีกรรมจีนเป็นที่รวบรวมไว้ของสถาปัตยกรรมต่างๆ การก่อสร้างของพระวิหารเริ่มในปี 1890 วัดตัวเองประกอบด้วยห้องโถงขนาดใหญ่หลายแห่งสำหรับการประกอบและการอธิษฐาน ที่นี่มีรูปปั้นของพระโพธิสัตว์ต่างๆ รวมทั้งเทพเจ้าของจีนเป็นงานไม้ที่สลับซับซ้อนซึ่งมักจะทาสีสดใสและมากมาย และที่สดุดตาคือโคมไฟทั่ววัด ซึ่งจะสวยงามมากยามค่ำคืน บรรยากาศ เหมือนกับอยู่ในประเทศจีนอย่างใดอย่างนั้น ซึ่งบันใดทางขึ้นจะมีแม่ค้าพ่อค้าชาวจีนมาตั้งร้านขายของ แม่ค้าส่วนใหญ่พูดได้หลายภาษารวมทั้งภาษาไทยด้วย แต่ของที่ตั้งไว้แพงมากแต่ต้องต่อเพราะคนจีนเขาตั้งราคาสูงเพื่อให้คนต่อ พอเดินเข้าไปในวัดก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากเข้ามากราบไว้สักการะพระพุทธรูปจีน (ศาสนาพุทธนิกายมหายาน) แต่กระนั้นวัดยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์มีการต่อสร้างต่อเติมอีกบางส่วน

ภาพที่ 10 วัดเก๊กล๊อคซี

          สถานที่ต่อมาคือ Penang Hill ยอดเขาปีนังฮิลล์มีอากาศที่สดชื่น อุณหภูมิค่อยข้างเย็น มีพืชพรรณต่างๆและสถานที่ต่างๆให้เยี่ยมชม มีการสร้างบ้านพักต่างอากศมากมายอยู่บนปีนังฮิลล์ และสถานที่ที่สำคัญ       ที่ทุกท่านต้องเข้าเยี่ยมชมเมื่อมาถึงปีนังฮิลล์แล้ว นั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์พืชพรรณไม้บนยอดเขาปีนังฮิลล์ บรรยากาศก็คล้ายๆกับภูกระดึงบ้านเรา เพียงแต่ของเขามีกระเช้าขึ้นเท่านั้นเอง

ภาพที่ 11 ป้ายทางเข้า Penang Hill

          สัปดาห์ที่ 4 ทางวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมทัศนศึกษา ที่เมืองยะโฮร์ มะละกา การเดินทาง 4 วัน สามคืน วันแรกใช้เส้นทางผ่านรัฐเปรัค ซึ่งได้รับสมญานามว่า ดินแดนแห่งเขาหินปูน ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นระหว่างทางเต็มไปด้วยภูเขาหินปูนเต็มไปหมด และแวะทานข้าวเที่ยงที่ปุตราจายา ซึ่งเป็นเมืองใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อนเป็นสถานที่ตั้งหน่วยราชการบริหารประเทศ ซึ่งอยู่ทางใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ จากนั้นเดินทางต่อไปยัง ยะโฮร์ บารู ซึ่งระหว่างทางฝนก็ตกหนัก พอไปถึงก็พักที่โรงแรม Grand Sentosa Hotel ตื่นเช้าไป Lego Land         ไปดูเมืองจำลอง เครื่องเล่นต่างๆ วันที่ สอง ไปชมประวัติศาสตร์รัฐมะละกา ต้นไม้ประจำรัฐก็คือ ต้นมะละกา (Melaka tree) ต้นมะขามป้อมบ้านเรานี้เอง พักที่โรงแรมใกล้ๆกับ Junker Walk บรรยากาศคล้ายกับถนน คนเดินบ้านเรา จากนั้นก็เดินทางกลับ ปีนัง (Hutton Lodge)

ภาพที่ 12 มัสยิดในเมืองปุตราจายา

ภาพที่ 13 Church of Melaka สร้างโดยทหารดัตซ์


          ในเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเวลา 05.00 ทางวิทยาลัยโดย คุณ Johnny และ Han ก็มารับไปส่งที่สนามบิน เพราะจะขึ้นเครื่องเวลา 08.20 น. บรรยากาศในขณะนั้นเต็มไปด้วยความปราบปลื้มและเศร้า เพราะเวลามันวิ่งผ่านเร็วมาก ทุกคนได้แต่บ่นว่าคิดถึงที่ๆเคยไป  จากนั้นก็ร่วมถ่ายรูปและอำลาทางวิทยาลัยซึ่งให้การดูแลเป็นอย่างดี 

ภาพที่ 15 ถ่ายภาพร่วมกับ Han (ซ้าย) ข้าพเจ้า (กลาง) Johnny (ขวา)

**1 พฤษภาคม 2556 - 1 มิถุนายน 2556**
 


แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า