นามสกุล คือ ชื่อบอกตระกูล เพื่อแสดงที่มาของบุคคลนั้น ๆ ว่ามาจากครอบครัวไหน ตระกูลใด ธรรมเนียมการใช้นามสกุลปรากฏอยู่ทั่วไปในหลาย ๆ ประเทศและวัฒนธรรม ซึ่งในแต่ละที่ก็อาจจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป
เมื่อกล่าวถึงนามสกุลในประเทศไทยแล้วนั้น เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ใน พ.ศ.2456 สมัยรัชกาลที่ ไม่ถึงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง เดิมทีจะเรียกชื่อกันแล้วตามด้วยชื่อพ่อ หรือชื่อเมีย หรือตามถิ่นที่อยู่ ตามลักษณะของผู้ใดผู้หนึ่ง เช่น นายดำผัวนางดี นางหมีลูกนายแช่ม นายแสงคลองมะกอก เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงทรงโปรดให้มีการตั้งนามสกุลเหมือนกับประเทศอื่นๆ โดยให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 และมีการพระราชทานนามสกุลให้แก่หลายครอบครัวที่เรียกว่า นามสกุลพระราชทานจำนวน 6,432 นามสกุล และหลายครอบครัวก็ตั้งนามสกุลตามชื่อของผู้นำของครอบครัวนั้น หรือตามถิ่นที่อยู่อาศัยของครอบครัวนั้น
เมื่อมีพระราชบัญญัติขนามนามสกุลฯ ราษฏรไทย ต้องมีการตั้งนามสกุลประจำครอบครัวขึ้น บางคนใช้ชื่อพ่อกับชื่อแม่รวมกัน บางคนใช้ชื่อผู้ใหญ่ที่ตนนับถือ บางคนก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตั้งให้ แต่ก็มีบางคนใช้คำว่า ณ และตามด้วยถิ่นที่อยู่ของตนเอง จนมีพระราชองค์การฯ ห้ามมิให้บุคคลทั้วไปใช้คำว่า ณ นำหน้าชื่อสกุลเว้นแต่จะได้รับพระราชทานเท่านั้น
1.ต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี
2.ต้องไม่พ้องหรือมุ่งให้คล้ายกับราชทินนาม เว้นแต่เป็นราชทินนามของตน ของบุพการี หรือผู้สืบสันดาน
3.ต้องไม่ซ้ำกับชื่อสกุลพระราชทานของพระมหากษัตริย์ หรือชื่อสกุลที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
4.ไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย
5.มีพยัญชนะไม่เกิน 10 พยัญชนะ เว้นแต่กรณีเป็นราชทินนาม
6.ผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานชื่อสกุล ห้ามใช้คำว่า "ณ" นำหน้าชื่อสกุล
7.ห้ามเอานามพระมหานคร และศัพท์ที่ใช้เป็นพระปรมาภิไธยมาใช้เป็นชื่อสกุล